วันศุกร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2556

ตะลุยหนองคาย ตอน เมืองอมตะแก้วกู่มหานิพพาน


หลังจากที่ได้เช็คเอ้าท์กับทางรีสอร์ทเรียบร้อย
 ก็เลยเข้าไปสอบถามกับทางรีสอร์ทเรื่องจะขอฝากข้าวของสัมภาระไว้ที่นี้จะได้หรือไม่
คุณป้าทางรีสอร์ทก็ใจดีรับฝากของสัมภาระข้าวของต่างๆ และจะช่วยดูเสื้อคลุมกับรองเท้าของพวกเราที่ตากแดดไว้ด้วย ถ้าฝนตกคุณป้าบอกเดี๋ยวจะช่วยเก็บเข้ามาให้ ขอบคุณคุณป้ามากครับ
ตอนนี้พวกเราก็ตัวเบาและ พร้อมทัวร์ต่อ

โดยที่ที่เราจะเดินทางต่อก็คือ เทวลัยสถาน ศาลาแก้วกู่ ครับผม
ก่อนออกทัวร์มีคลิปเล็กๆน้อยๆจากคุณแพรมาฝากครับผม


อาจติดๆขัดๆ พูดไม่รู้เรื่องไปบ้างก็ขออภัยน่ะครับ นี้เป็นการทำวิดีโอครั้งแรกจริงๆ ><!!


พร้อมเดินทางต่อแล้วครับ (เอ๊ะ! แต่เหมือนรองเท้าคุณแพรจะไม่พร้อมน่ะครับ)

การเดินทางมาศาลาแก้วกู่นั้นก็ไม่ยากเท่าไหร่นัก ออกจากตัวเมืองไปถนนเส้น 212 ทางไป อ.โพนพิสัย (ทางเดียวกับที่เราเดินทางไปวัดโพธิ์ชัยครับ) ประมาณ 3 กิโลเมตร ศาลาแก้วกู่จะอยู่ทางขวามือครับ จะมีป้ายบอกทางไปเป็นระยะไม่กลัวหลงครับผม


ทางเข้าศาลาแก้วกู่ครับ โดยผู้ใหญ่เสียค่าเข้าชมท่านล่ะ 20 บาท และเด็ก 10 บาทครับผม


ภายในศาลาแก้วกู่ครับผม มองไปทางซ้าย


มองไปทางขวา ไปทางไหนก่อนดีน่ะ 
ไปทางขวาก่อนแล้วกัน งั้นมาเริ่มเดินชมกันก่อนเลยแล้วกัน


หมาเห่าช้าง คติเตือนใจ หมาเห่าช้างช่างปากหมามันเถอะ แล้วแต่ดวงชะตา ดูขนาดหมากับช้าง หมากัดขาหลังช้างก็ยังไม่หมดความหมายเกี่ยวกับชีวิตประจำวันหากได้ยินใครนินทาว่าร้ายก็อย่าใส่ใจให้มันมาก แค่คำนินทานั้นทำอะไรเราไม่ได้มากหรอก ทำได้แค่รำคาญเท่านั้น


องค์พระศิวะเทพและพระอุมาเทวี เทวลัยปางนี้คือ องค์พระศิวะเทพและพระอุมาเทวี คือพระปิตุเทพพระมาตุเทพของสามโลก พร้อมด้วยพระมหาโอรสรัชทายาทคือพระพิฆเนศวร และพระขันธะกุมาร ประทับอยู่วิมานบนเขาไกรราชเป็นที่เคารพสักการะบูชาของบรรดาชาวเทพทั้งสูงและต่ำ ตลอดจนมนุษย์ทั้งหลาย พระองค์ทรงมีเมตตาจิต แก่สัตว์โลก พระองค์เป็นที่พึ่งแก่เหล่าสมณชีพราหมณ์ ผู้บำเพ็ญตะบะอันแก่กล้า ได้ช่วยพุทธเจ้าทุกพระองค์ ถ้าร้อนอาสน์ถึงองค์มหาเทพศิวะเสด็จลงมาประทานพร พร้อมเดียวกันนั้นพระองค์ยังทรงไว้ที่ข้อแม้เพื่อกำจัดปราบปรามเหล่าอธรรมด้วยอุบายอันลึกลับ พระองค์ดำรงไว้ซึ่งความสุขของสัตว์โลกด้วยครรลองกฎเกณฑ์ของเทวลึงค์ ตามวรรณคดีของโลกธาตุ


วราหะวตาร เทวลัยปางนี้คือ วราหะวตารเป็นหมูลงมาปราบเหรัญตะยักษ์ ซึ่งได้รับพรจากองค์ศิวะเจ้า ต่อมาเหรัญตะยักษ์ ได้มีจิตกำเริบอหังการ์ รังควาญสามโลกให้เดือดร้อน และได้ม้วนแผ่นดินไปทิ้งที่นิลสาคร (ทะเลดำ) บาดาล ด้วยเทวโองการให้พระนารายณ์ลงปราบอธรรม เหรัญตะยักษ์ ถูกสังหารด้วยเขี้ยวแก้วหมูตันแล้วเสียบเอาโลกขึ้นมาอยู่กลางเวหาให้มนุษย์และเทวดาได้อยู่อาศัยอยู่ทุกวันนี้ วรรณคดีนี้เกิดขึ้นในสมัยพระติงสักกะพุทธเจ้า นับย้อนหลังจากพระโคดมพุทธเจ้าไป ๙๙๙,๐๗๔ พระองค์ ตามวรรณคดีของพระศาสนา
 *หมายเหตุ อาจจะเนื่องด้วยเหตุนี้เองชาวอิสานหลายคนจึงนิยมพกตะกรุดเขี้ยวหมูตันเป็นเครื่องลาง

มีประกาศสำหรับนักท่องเที่ยวที่มาเข้าชมครับ


เทวลัยปางนี้ คือท่านได้ทำความดีเพื่อประกันภัยไว้ก่อนตาย



น้องแพรกับองค์พระศิวะเทพและพระอุมาเทวี 


ในน้ำเน่ายังมีเงาจันทร์ ประโยคที่คุ้นหูมีความหมายดีๆซ้อนอยู่


กัจฉปาวตาร เทวลัยปางนี้คือ กัจฉปาวตาร ซึ่งเป็นเต่าไปปราบอธรรมอสูรมัจฉา ที่คิดจะทำลายแผ่นดิน ที่ตั้งเขาพระสุเมรุให้พังทลายด้วยเทวโองการ บัญชาให้พระนารายณ์ ปราบอธรรมอสูรมัจฉา อสูรตนนั้นอยู่ใต้สะดือทะเล ปิตะสาคร (ทะเลเดือด) และได้จับอสูรมัจฉามาสังหาร วรรณคดีนี้อุบัติขึ้นในพุทธนครพระอาหังสิพุทธเจ้า นับอดีตย้อนหลังจากพระโคดมพุทธเจ้าไป ๙๙๙,๐๘๙ พระองค์


เทวลัยพระขันธกุมาร และพระพิฆเนศวร


ศาลาแก้วกู่ครับ


ด้านข้างศาลามีเทวรูปตกแต่งมากมาย


ภาพถ่ายจากด้านหน้าศาลาแก้วกู่ มีเทวลัยมากมายครับ ดูแล้วบางทีก็รู้สึกขนลุก


มาทั้งทีก็ขอมาสักการะเทพผู้คุ้มครองที่แห่งนี้ก่อนล่ะกัน


เดินไปสักระยะก็มีที่ให้อาหารปลายักษ์ ต้องขอบอกว่าปลายักษ์จริงๆ
มีทั้งปลายสวายยักษ์ ปลาตะเพียนยักษ์ ปลานิลยักษ์ และที่ใหญ่สุดๆเลยก็คือปลาบึก
ที่ว่าเป็นปลายักษ์เพราะแต่ตัวนั้นไซส์ขนาดไม่ต่างจากบึกเลย


ผู้มาเที่ยวชมกำลังให้ขนมปังอยู่ครับ

เนื่องจากศาลาให้อาหารปลานั้นมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก นักท่องเที่ยวที่จะลงไปให้อาหารปลา
เลยต้องรอต่อคิวกันครับ จริงๆแล้วให้มีศาลาให้อาหารปลาอีกจุดนึงอยู่ แต่วันนี้เหมือนจะปิดครับ
ระหว่างรอให้อาหารปลาก็เลยเดินเข้าไปในโรงเก็บต้นตะบองเพชรของศาลาแก้วกู่ครับ


มีหลากหลายชนิดจริงๆครับต้นตะบองเพชรที่โรงเก็บแห่งนี้

หลังจากที่ศาลาว่างแล้วพวกเราเลยเดินลงไปให้อาหารปลายักษ์กันบ้าง




มีเยอะแยะมากมายครับปลายักษ์ที่นี้



พระเจ้าย่าแอใค่ เทวลัยปางนี้คือ พระเจ้าย่าแอใค่ (พระอุมาหรือพระสันติ) เป็นพระบรมราชินีของนาคพิภพตามวรรณคดีของอิสาน



ภาพรวมอีกมุมนึงในสวนครับผม


พระพุทธปัจเจกมณีแก้วกู่ จารึกที่ฐานเทวลัย กล่าวว่า
 พระเทวลัยปางนี้คือ พระพุทธปัจเจกมณีแก้วกู่ อุบัติดำรงค์ชนม์ ในสมัยอสูญญกัปป์ ระหว่างพุทธันครของพระกัสสะโปพุทธเจ้า กับของพระโคดมพุทธเจ้า กาลครั้งหนึ่งพระพุทธปัจเจกมณีแก้วกู่ได้ออกจากเวทยิตนิโรธสมาบัติ ได้มุ่งหน้าออกจากที่อยู่แห่งคนบนเขาคันธามาสไปทางทิศตะวันตก ผ่านอุทยานหลวง อุราวรรณ กรุงเกตุมวดี มัชฌิมประเทศ พระองค์ได้โปรดกระทาชายทุกข์เข็ญใจผู้หนึ่งให้สำเร็จเป็นเศรษฐี ด้วยผลทานดอกบัว ๙ ดอก และข้าวสาลี ๑ ทัพพี ตามวรรณคดีของพระศาสนามาจนถึงปัจจุบันนี้





เทวรูปมากมายครับผม


 พระสังกัจจายนะ เทวลัยปางนี้คือ พระกัจจายนะ บุตรพราหมณ์ปุโรหิตผู้กัจจายนะโคตร เดิมชื่อ กัญจนาปิยะบุตร มีผิวพรรณผ่องใส เมื่อเจริญวัยแล้วได้เป็นปุโรหิตแทนบิดา ในการต่อมาพระเจ้าจันฑปัชโชตผู้ครองกรุงอุชเชนี ทรงทราบว่าพระบรมศาสดาอุบัติขึ้นในโลกแล้ว และเสด็จเที่ยวสั่งสอนประชาชนจึงรับสั่งให้พระกัจจายนะปุโรหิตไปอาราธนาทูลเสด็จมาสู่แคว้นพระองค์ ครั้งนั้นพระกัจจายนะทูลลา เดินทางพร้อมด้วยบริวาร ๗ คนได้ฟังพระธรรมก็สำเร็จอรหัตตผล แล้วทูลขออุปสมบทพระพุทธองค์อนุญาตให้เป็นภิกขุด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทา พระเถระเป็นโอคทัคคะจตุปฏิสัมภิทาญาณ พระบรมศาสดารับสั่งให้กลับกรุงอุชเชนี ประกาศพระศาสนาแทนพระองค์ พระเถระได้ยังให้พระเจ้าจันฑปัชโชต และชาวเมืองเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา พระเถระเป็นสมณเพศผู้มีกิสมาจารวัตรสำรวมอินทรีย์ และมีรูปโฉมอันงามดุจดุงพระบรมศาสดา เป็นที่เคารพรักเลื่อมใสของชาวเมือง ต่อมามีไสไรยะเศรษฐี ได้พบเห็นพระเถระ เกิดอกุศลจิตคิดเป็นบาปว่า ถ้าภรรยาของเรามีรูปงามดังพระภิกษุองค์นี้ เราจะมีความสุขมาก ด้วยอกุศลจิตดังกล่าวทำให้เศรษฐีกลายเพศเป็นหญิงในบัดดลนั้นเอง เศรษฐีละอายยังได้ทิ้งภรรยาและบุตร 2 คนหนีไปอยู่ในชนบทอื่น และมีสามีใหม่ได้บุตรอีก 2 คน ต่อมาสำนึกบาปได้จึงกลับมาขอขมาโทษพระเถระ ร่างก็กลับกลายเป็นชายอย่างเดิม พระเถระมีความสังเวช จึงได้เนรมิตรร่างให้เป็นรูปอัปลักษณ์อย่างทุกวันนี้ 




ยังมีให้เข้าไปด้านในอีกครับผม


ขอถ่ายรูปคู่กับเทวลัยปางนาคปรก


คำคมเล็กๆน้อยๆซึ่งจะสอดแทรกตามป้ายต่างๆในเทวสถานแห่งนี้


พระราหูกินจันทร์ และสูรย์คราส คำจารึกเพื่อธิบายเทวลัยที่สลักไว้ที่ฐานของเทวลัยทุกแห่งมีอยู่ว่า
 เทวลัยปางนี้คือพระราหูกินจันทร์ และสูรย์คราส คำคม แสงหิ่งห้อยหรือจะเทียบกับแสงดาวที่พราวระยับ หมู่แสงดาวที่แพรวพราวระยับอยู่บนท้องฟ้า หรือจะเทียบแสงเดือนที่นวลใยในนภา แสงเดือนสีนวลสดใสในท้องฟ้า ไหนจะเทียบแสงสุริยาอาทิตย์ได้ แสงสุริยาที่ร้อนแดดแผดเผาทั่วโลกายังมีท้าวพระยาราหู ที่ดับแสงแดดแผดเผาให้เยือกเย็นมัวมืดลงได้ อย่าคิดว่าเราจะดีกว่าคนทั้งโลก ดังสมญานามว่าคนดีไม่มีคนเดียวในโลก


ขออีกรูปก่อนกลับครับผม

หลังจากออกมาจากเทวลัยแล้ว เลยแวะซื้อของฝากที่ขายอยู่ตามรั้วข้างนอกเทวลัยสักหน่อยครับ


มีเสื้อผ้าแบบพื้นเมืองทั้งของเด็กและผู้ใหญ่ครับ (โดยส่วนมากจะของเด็กครับผม)


ของฝากอื่นๆครับ


ขอยืมหมวกจากร้านมาถ่ายรูปเสียหน่อย

หลังจากที่ออกมากจากเทวสถานกู่แก้วแล้วใกล้ๆกันมีฟาร์มจรเข้เปิดใหม่
จึงได้ถือโอกาสแวะเข้าไปเยี่ยมชมการแสดงในฟาร์มจรเข้ ต่อจากนั้นก็เดินทางไปริมแม่น้ำโขง
ตลาดท่าเสด็จ และสุดท้ายแวะทานอาหารที่ร้านแดงแหนมเนืองร้านชื่อดังริมฝั่งโขงของจังหวัดหนองคาย
ติดตามชมต่อได้ใน
ตอนนี้ขอแวะไปหลบร้อนก่อนครับผม
ขอบคุณครับ

ปล. เทวลัยหลายๆองค์ไม่มีคำบรรยายเพราะจำไม่ได้ครับผม ต้องขออภัยด้วยครับ
ปล2. ในบทความนี้เป็นเพียงแค่ส่วนหนี่งของเทวสถานครับ จริงๆแล้วยังมีอีกหลายจุดที่ไม่ได้นำมาเขียน